“ลำไส้อักเสบ” โรคที่คนส่วนใหญ่คิดว่าแค่อาการท้องเสียธรรมดา
ศูนย์ : ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ
บทความโดย : รศ.ดร.พญ. พจมาน พิศาลประภา
คุณ "เคยมีอาการเหล่านี้" หรือไม่?
อุจจาระเหลว เป็นน้ำ เป็นมูกหรือเป็นมูกเลือด บางคนอาจถ่ายวันละ 10-20 ครั้ง จนบางครั้งทำให้ผู้ป่วยต้องตื่นกลางดึกขึ้นมาเพื่อถ่าย
มีไข้สูง หรือ ไข้ต่ำ
รู้สึกอ่อนเพลีย
หากคุณมีอาการเหล่านี้ คุณอาจกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคลำไส้อักเสบโดยไม่รู้ตัว ... ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกับโรคลำไส้อักเสบกันว่าเกิดจากสาเหตุใด และมีวิธีการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างไรบ้าง
สารบัญ
โรคลำไส้อักเสบคืออะไร?
โรคลำไส้อักเสบ (Ulcerative Colitis) คือ โรคที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหารชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดการอักเสบที่เยื่อบุผนังบริเวณลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้เกิดแผลที่ผนังทางเดินอาหาร โดยอาการอักเสบที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกิดเลือดออกที่ผนังลำไส้ ทำให้ลำไส้บีบตัวเร็วขึ้น ผู้ป่วยจึงมีอาการปวดท้อง ท้องร่วง ถ่ายมีมูกเลือดปนออกมา ทั้งนี้เกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุผนังลำไส้ที่มีเกิดการอักเสบนั่นเอง
โรคลำไส้อักเสบ เกิดจากสาเหตุใด?
ทางการแพทย์ยังไม่พบสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบ แต่สาเหตุที่เป็นไปได้นั้นอาจเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานผิดปกติ เพราะโดยปกติแล้วระบบภูมิคุ้มกันจะทำหน้าที่ป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายอย่างเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย แต่เมื่อระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติจึงทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงทำให้เกิดการติดเชื้อและการอักเสบที่ลำไส้ตามมา ส่วนในกรณีที่ผู้ป่วยมีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดปกติเป็นระยะเวลานานๆ อาจทำให้เกิดอาการลำไส้อักเสบเรื้อรังได้
อาการที่บ่งชี้ว่าคุณกำลังเป็นโรคลำไส้อักเสบ
อาการที่พบได้บ่อยในโรคลำไส้อักเสบ คือ ท้องเสียหรือท้องร่วงร่วมกับปวดท้อง โดยอาการปวดท้องนั้นจะมีลักษณะแบบปวดบีบๆ นอกจากนั้นอาจมีอาการอื่นที่พบร่วมด้วย เช่น
- ลักษณะอุจจาระอาจเหลว เป็นน้ำ เป็นมูกหรือเป็นมูกเลือด
- มีไข้สูง หรือ ไข้ต่ำ รู้สึกหนาวสั่น
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อ่อนเพลีย
หากท้องเสียมาก มีอาเจียนร่วมด้วย และดื่มน้ำได้น้อย อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้ ซึ่งถ้ามีอาการดังที่กล่าวมาอย่างรุนแรง อาการไม่ดีขึ้นหรืออาการแย่ลงภายใน 24 ชั่วโมง ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ แต่ถ้ากรณีมีไข้สูง ปวดท้องมากและเกิดอาการจากภาวะขาดน้ำ เช่น ตาโหล ปากแห้ง วิงเวียน เป็นลม ใจสั่น ต้องรีบไปโรงพยาบาลโดยทันที
การตรวจวินิจฉัยโรคลำไส้อักเสบ
เมื่อมาโรงพยาบาลแพทย์จะสอบถามผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการและประวัติการรักษา รวมทั้งอาจตรวจร่างกายผู้ป่วยว่ามีอาการอย่างอื่นหรือเกิดอาการตึงที่ท้องร่วมด้วยหรือไม่ ทั้งนี้แพทย์ต้องส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อแยกวินิจฉัยโรคลำไส้อักเสบออกจากโรคอื่นๆ ซึ่งบางโรคมีลักษณะอาการของโรคคล้ายกัน โดยการวินิจฉัยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังประกอบด้วย
- การตรวจร่างกาย ตรวจอุจจาระ ตรวจเลือด (CBC) เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไม่
- การตรวจค่าเกลือแร่ในร่างกาย เพื่อตรวจดูภาวะขาดน้ำ
- การตรวจเพาะเชื้อจากอุจจาระหรือจากเลือด และแพทย์อาจสั่งตรวจรายการอื่นๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยที่แพทย์ตรวจพบและดุลพินิจของแพทย์ เช่น การเอกซเรย์ภาพช่องท้องกรณีที่คนไข้ปวดท้องมาก เป็นต้น
โรคลำไส้อักเสบ สามารถรักษาได้อย่างไรบ้าง?
การรักษาตามอาการ
การรักษาตามอาการ คือ การป้องกันภาวะขาดน้ำด้วยการให้กินผงละลายเกลือแร่โออาร์เอส หรือถ้าขาดน้ำมากจะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และให้รับประทานอาหารอ่อนหรืออาหารเหลว โดยแพทย์อาจให้ทานยาแก้ปวดและยาแก้คลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
การรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ
การรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ ในกรณีเกิดการอักเสบจากติดเชื้อแบคทีเรีย หรือการให้ยาฆ่าเชื้อราเมื่อมีการอักเสบเกิดจากเชื้อรา เป็นต้น
โรคลำไส้อักเสบ สามารถป้องกันได้อย่างไร?
การป้องกันโรคลำไส้อักเสบที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อสามารถป้องกันได้โดย
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
- รักษาความสะอาดของอาหาร น้ำดื่มโดยเฉพาะน้ำแข็ง ห้องครัว เครื่องใช้ในการปรุงอาหาร
- อาหารควรปรุงให้สุกอย่างทั่วถึง
- ล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
- ใช้ส้วมเสมอในการขับถ่าย เพื่อลดโอกาสเกิดโรคระบาดติดต่อทางอุจจาระ
- กรณีที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ ควรศึกษาสุขอนามัยของประเทศที่จะไปก่อนเสมอ โดยเฉพาะเรื่องน้ำดื่มและอาหารการกิน
สำหรับการป้องกันโรคลำไส้อักเสบที่ไม่ทราบสาเหตุจากการติดเชื้อ เป็นโรคที่ไม่สามารถป้องกันได้ ดังนั้นเราจึงควรใส่ใจความสะอาดของอาหารที่รับประทานและการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งนี้เพื่อช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้เกิดโรคลำไส้อักเสบ
รศ.ดร.พญ.พจมาน พิศาลประภา
อายุรศาสตร์/อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร
ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ
ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
บทความทางการแพทย์ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ