โรคลมชัก คืออะไร ทำไมถึงเป็นอันตรายแบบไม่ทันตั้งตัว
ศูนย์ : ศูนย์สมองและระบบประสาท
บทความโดย : นพ. พงศกร คงสาคร
โรคลมชัก หรือ Epilepsy สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย โดยอาการแสดงไม่เพียงแต่มีการชักเกร็งกระตุกทุกส่วนของร่างกายเพียงอย่างเดียว ถ้ามีอาการเบลอ เหม่อลอย ตาค้าง วูบบ่อย ก็เสี่ยงต่อการเกิดโรคลมชักหรือลมบ้าหมูแบบไม่ทันตั้งตัวได้ โดยอาการเหล่านี้ไม่ควรมองข้าม หากปล่อยให้มีอาการลักษณะนี้บ่อยๆ และไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลให้ความจำเลอะเลือนชั่วคราว หรือหากมีอาการกำเริบขึ้นกะทันหันอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนทำให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้
สารบัญ
ทำความรู้จักโรคลมชัก
โรคลมชัก หรือ Epilepsy คือ ความผิดปกติของสมองที่ทำให้เกิดอาการชักซ้ำ ๆ โดยไม่มีสาเหตุแน่ชัด เกิดจากการปล่อยกระแสไฟฟ้าผิดปกติของเซลล์ประสาท ทำให้การทำงานของร่างกายผิดปกติชั่วขณะ โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย พบได้ประมาณ 1% ของประชากรทั่วโลก หรือราว 70 ล้านคน ในประเทศไทย มีผู้ป่วยโรคลมชักกว่า 500,000 - 700,000 คน
ข้อเท็จจริงที่หลายคนยังไม่รู้
- โรคลมชัก ไม่ใช่โรคทางจิตเวช
- ไม่ติดต่อ และ สามารถรักษาให้ควบคุมอาการได้
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่ใช้ชีวิตได้ตามปกติ หากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์เฉพาะทาง
สาเหตุของโรคลมชัก
โรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
- โรคทางพันธุกรรมที่มักมีอาการชักร่วมด้วย
- ภาวะสมองพิการแต่กำเนิด ซึ่งเกิดตั้งแต่เมื่อทารกยังอยู่ในครรภ์
- การบาดเจ็บหรือกระทบกระเทือนสมอง
- การติดเชื้อในสมอง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไข้สมองอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย การติดเชื้อโปรโตซัวหรือพยาธิในสมอง
- ภาวะสมองขาดออกซิเจน
- เนื้องอกในสมอง หรือมะเร็งที่กระจายจากอวัยวะอื่นๆ มาสู่สมอง
- โรคหลอดเลือดในสมองตีบ อุดตัน
- ภาวะน้ำตาลหรือเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ
ทำไมโรคลมชัก ไม่มีสัญญาณเตือน
อาการชักของโรคลมชักมักเกิดขึ้นอย่าง เฉียบพลัน และ ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า บางรายอาจรู้สึกถึง “สัญญาณนำ” (Aura) ก่อนเกิดอาการเล็กน้อย เช่น เห็นภาพประหลาด ได้กลิ่นแปลก ๆ หรือใจสั่นหวิว แต่โดยทั่วไปมักเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะป้องกันได้ นั่นทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการบาดเจ็บจากการล้ม หรือหมดสติระหว่างทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ดังนั้น การติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง และ การปรับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยแพทย์เฉพาะทางโรคลมชักจึงมีความสำคัญมาก
อาการของโรคลมชัก
อาการของโรคลมชักมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับกระแสไฟฟ้าในสมองผิดปกติที่ส่วนใดของสมองและรุนแรงมากน้อยแค่ไหน บางอาการสังเกตได้ยากว่ามีอาการชักอยู่ โดยประเภทของอาการชักมี ดังนี้
- ชักชนิดทั่วไป (Generalized Seizures) เกิดจากไฟฟ้าผิดปกติทั่วสมอง มักหมดสติและชักทั้งตัว
- ชักชนิดเฉพาะที่ (Focal Seizures) เกิดจากสมองบางส่วน มีอาการเฉพาะจุด เช่น แขนกระตุก พูดไม่ได้
- ชักแบบ Absence มักเกิดในเด็ก มีอาการเหม่อลอยชั่วขณะ แต่ไม่ล้ม
ควรพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการแบบนี้
- มีอาการชักครั้งแรก
- ชักนานเกิน 5 นาที
- ชักซ้ำหลายครั้งโดยไม่รู้สึกตัว
- ได้รับบาดเจ็บระหว่างชัก
- ชักขณะตั้งครรภ์
- หมดสติเป็นเวลานานหลังชัก
การวินิจฉัยโรคลมชัก
การวินิจฉัยโรคลมชักนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะบางอาการของโรคลมชักก็ใกล้เคียงกับโรคอื่นๆ เช่น โรคไมเกรน หรือภาวะตื่นตระหนกเป็นต้น ดังนั้น จึงต้องใช้เวลาในการตรวจและทดสอบจึงจะทราบผลที่แน่ชัด โดยแพทย์จะทำการซักถามข้อมูลเกี่ยวกับอาการชักจากผู้ป่วย ถึงสิ่งที่จดจำได้ในขณะที่เกิดอาการ หรือสัญญาณเตือนต่างๆ รวมถึงสอบถามจากญาติผู้ป่วย เพื่อได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ พร้อมทั้งการตรวจเพิ่มเติม อาทิ
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography, EEG) โดยจะติดสายไฟฟ้าในตำแหน่งต่างๆ บนศีรษะ เพื่อตรวจหาจุดที่ปล่อยไฟฟ้าผิดปกติในสมอง ช่วยวินิจฉัยโรคลมชัก และทำให้สามารถบอกตำแหน่งของสมองที่เกิดการชักและชนิดของการชักได้
- การตรวจเอกซเรย์ MRI Brain หรือ CT Scan สมอง จะทำในบางรายที่มีอาการสงสัย ชัก ช่วยให้แพทย์เห็นภาพความผิดปกติของสมองที่เป็นสาเหตุของโรคลมชักได้ เช่น เนื้องอกในสมอง เลือดออกในสมอง เป็นต้น
- การตรวจเลือดหาสาเหตุทางพันธุกรรมในโรคลมชักบางชนิดที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
แนวการรักษาโรคลมชัก
โรคลมชักบางชนิดรักษาหายขาดได้ การรักษาแพทย์จะต้องวินิจฉัยก่อนว่าเป็นโรคลมชักที่มาจากสาเหตุใด เพื่อทำการรักษาได้ถูกต้อง ได้แก่
- การใช้ยากันชัก เพื่อช่วยกดสมองส่วนที่มีการปล่อยคลื่นลมชักออกมา ทำให้ไม่ชัก โดยปัจจุบันมียากันชักหลากหลายชนิด ซึ่งการเลือกใช้ยากันชัก แพทย์ก็จะเลือกตามความเหมาะสมของชนิดการชัก และผลข้างเคียงของยา เป็นต้น
- เครื่องกระตุ้นประสาท VNS ช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการชัก
- การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ในกรณีที่พบเนื้องอกในสมองหรือหลอดเลือดผิดปกติ หรืออาการชักที่ควบคุมไม่ได้ด้วยยากันชัก และตรวจเพิ่มเติมพบว่ามีจุดกำเนิดชัก ที่สามารถผ่าตัดออกได้ ในกรณีควบคุมอาการไม่ได้และมีตำแหน่งชัดเจน
- การปรับพฤติกรรมและอาหาร เช่น การนอนหลับเพียงพอ งดแอลกอฮอล์ และในบางรายใช้อาหาร Ketogenic diet อาหารที่มีสัดส่วนของไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ และโปรตีนที่เพียงพอเหมาะสม
ความสำคัญของการดูแลต่อเนื่อง
โรคลมชักเป็นโรคที่ต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะช่วงมีอาการ การติดตามกับแพทย์เฉพาะทางช่วยให้สามารถ
- ปรับยาให้เหมาะสมกับร่างกาย
- เฝ้าระวังผลข้างเคียง
- ประเมินการควบคุมอาการอย่างแม่นยำ
- วางแผนชีวิตระยะยาวอย่างปลอดภัย
ผู้ป่วยโรคลมชักควรปฏิบัติตัวอย่างไร
- ควรรับประทานยากันชักอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่หยุดยาเอง
- หลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นอาการชักเพิ่มขึ้น ได้แก่ อดนอน ดื่มสุรา ความเครียด การทำงานหนัก หรือออกกำลังกายจนเหนื่อยมากเกินไป
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดอันตรายเมื่อมีอาการกำเริบได้ เช่น ขับรถ ว่ายน้ำ การขึ้นที่สูง การใช้ของมีคม การทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกลใหญ่ๆ งานช่างไฟ งานก่อสร้าง
- ดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติ ออกกำลังกายให้พอเหมาะและสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ
- ไปพบแพทย์สม่ำเสมอตามนัด เพื่อตรวจติดตามสาเหตุของอาการชักและตรวจอาการข้างเคียงที่อาจเกิดจากยากันชัก
ทั้งนี้การป้องกันโรคลมชักที่ดีที่สุด คือ การตรวจหาโรคตั้งแต่เนิ่นๆ หากมีอาการที่อาจเป็นสาเหตุมาจากโรคลมชัก เช่น ความจำไม่ดีหรือสูญเสียความจำ เหม่อลอย วูบ เบลอ เคี้ยวปาก มือเกร็ง พูดติดขัด ควรไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านสมองและระบบประสาททำการตรวจ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคลมชัก และทำการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ได้
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
บทความทางการแพทย์ศูนย์สมองและระบบประสาท
