
หลายคนที่ติดเชื้อโควิด-19 และได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีจนหายแล้ว
แต่กลับยังมีอาการที่เคยมีขณะที่ติดเชื้อหลงเหลืออยู่
อย่างอาการเหนื่อยเพลีย หายใจลำบาก ไอเรื้อรัง แขนขาอ่อนแรง การรับรู้กลิ่นหรือรสชาติลดลง อาจเป็นไปได้ว่า คุณกำลังตกอยู่ในภาวะ “ลองโควิด” (LONG COVID)
ภาวะลองโควิด คืออะไร?
“ภาวะลองโควิด” เป็นภาวะที่พบในผู้ป่วยที่เป็นโควิด-19 หลังจากรักษาตัวแล้วหายดีไม่มีเชื้อหลงเหลืออยู่ แต่มีอาการที่เกิดต่อเนื่องหลังจากการติดเชื้อโควิด-19 ภาวะลองโควิดยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด อาจเกิดจากการที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง เพราะการติดเชื้อโควิด-19 นั้นจะนำไปสู่กลไกการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและเกิดการอักเสบในร่างกาย เมื่อร่างกายของผู้ป่วยสามารถกำจัดเชื้อโรคแล้ว ไม่ว่าจะกำจัดได้เอง หรือต้องอาศัยยาต้านไวรัสช่วยก็ตาม แต่ภูมิคุ้มกันและการอักเสบก็อาจจะยังไม่ฟื้นฟู หรือเกิดจากผลข้างเคียงในด้านของการรักษาที่ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานานโดยเฉพาะห้อง ICU ผลข้างเคียงจากการใช้ยา เป็นต้น โดยอัตราการเกิดลองโควิด จะอยู่ที่ประมาณ 40-80% (จากรายงานทั่วโลก) ซึ่งอาการที่พบมีหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
กลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลองโควิด
ภาวะลองโควิด (LONG COVID) สามารถเกิดได้กับผู้ที่ติดเชื้อทุกคน ทั้งที่มีอาการน้อย หรือแทบไม่มีอาการเลยก็ได้ แต่ความเสี่ยงของกลุ่มที่จะเกิดภาวะลองโควิดได้มากขึ้น ได้แก่
- ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงขณะติดเชื้อ ผู้ที่มีปอดอักเสบ
- ผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุ และส่วนใหญ่เกิดในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ประมาณ 1.4-1.5 เท่า
- ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคปอด เป็นต้น
- ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ
- ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน
- ผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน
อาการลองโควิดที่พบบ่อยหลังติดเชื้อโควิด-19
อาการลองโควิด เป็นอาการเจ็บป่วยที่ไม่มีลักษณะตายตัว อาจเหมือนหรือต่างกันในแต่ละบุคคล ผลกระทบของลองโควิดสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย ตั้งแต่ระบบหายใจ ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร หัวใจและหลอดเลือด โดยสามารถแบ่งอาการที่เกิดขึ้นได้ ดังนี้
- อาการที่เกิดจากปอด เช่น อาการเหนื่อยล้า หายใจไม่อิ่ม หายใจลำบาก ไอเรื้อรัง มีฝ้าขาวเกิดขึ้นที่ปอด
- อาการที่เกิดจากหัวใจ เช่น อาการใจสั่น อาการหัวใจเต้นเร็ว อาการเจ็บหน้าอก
- อาการที่เกิดจากสมอง เช่น ปวดหัว เวียนศีรษะ สมองล้า
- อาการที่เกิดจากไต เนื่องจากความสมดุลของเกลือแร่ (โซเดียม) ที่ผิดปกติไปทำให้ไตมีภาวะบกพร่องมากขึ้น เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน
- อาการด้านความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารและการทำงานของตับ
- อาการอ่อนแรง ที่เกิดจากตัวกล้ามเนื้อและระบบประสาท ปวดเมื่อยตามตัว ปวดตามข้อ
- อาการทางผิวหนัง เช่น มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง หรือ มีปัญหาผมร่วง
- ด้านจิตใจและอารมณ์ เกิดความเครียด ภาวะซึมเศร้า อาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล หรือมีผลกระทบทางจิตใจหลังเผชิญสถานการณ์รุนแรง (Post-Traumatic Stress Disorder)
เมื่อหายป่วยจากโรคโควิด-19 แล้วต้องทำอย่างไรต่อ?
หากผู้ที่หายป่วยจากโรคโควิด-19 แล้วยังมีอาการที่กล่าวมา เช่น ไข้สูง ไอมาก หอบเหนื่อย เจ็บแน่นหน้าอก หน้ามืดเป็นลม แขนขาอ่อนแรง การรับรู้กลิ่นหรือรสชาติลดลง เป็นต้น แนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เนื่องจากบางรายอาจเป็นผลจากตัวยาที่ใช้ในการรักษา หรือบางรายอาจจะมีโรคอื่นๆ ร่วมด้วย จึงต้องมีการตรวจเพิ่มเติมและทำการรักษาให้ตรงกับปัญหาและอาการที่เกิดขึ้น
รวมไปถึงการเข้ามารับการตรวจเช็คสุขภาพหลังหายป่วยจากโรคโควิด-19 เพื่อเช็คผลเลือด เอกซเรย์ปอด ค่าตับ ค่าไต ค่าสารอักเสบต่างๆ รวมถึงระดับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย เพื่อวางแผนในการดูแลและฟื้นฟูตัวเองให้ร่างกายกลับมามีประสิทธิภาพดังเดิม

ที่สำคัญผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างครบถ้วน ควรวางแผนในการรับวัคซีนให้ครบหลังจากติดเชื้อแล้ว 1-3 เดือน แม้หลังจากติดเชื้อโควิด-19 ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 ขึ้นมา โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก ทำให้โอกาสติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำมีน้อยมาก แต่ภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นโดยธรรมชาตินี้ ก็จะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยโควิด-19 แม้หายป่วยแล้ว แต่ยังจำเป็นต้องปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัดอยู่เสมอ เช่น ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาแม้อยู่บ้าน หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ 70% และไม่ไปในแหล่งชุมชนแออัด หรือสถานที่อากาศไม่ถ่ายเท