กรดไหลย้อนเรื้อรัง ไม่หายขาด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาอาการ
ศูนย์ : ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ
บทความโดย : นพ. สุขุมพันธ์ เก่าเจริญ

อาการแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ ลามขึ้นมาถึงอกหรือคอ รวมถึงมีอาการเรอเปรี้ยวขมในปากและรู้สึกจุกเสียดแน่นท้อง เป็นอาการหลักของโรคกรดไหลย้อน หรือ GERD (Gastroesophageal Reflux Disease) สามารถเกิดได้ในทุกเพศทุกวัย ส่วนหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน โรคนี้ไม่สามารถหายได้ด้วยการรับประทานยาอย่างเดียว ควรต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่กระตุ้นให้มีอาการกำเริบด้วย แต่หากอาการไม่ดีขึ้น หรือเป็นเรื้อรังไม่หายขาด อาจต้องตรวจด้วยเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง หรือแยกโรคอื่น ๆ ออก
สารบัญ
- สาเหตุการเกิดโรคกรดไหลย้อน (GERD)
- ปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อโรคกรดไหลย้อน
- อาการกรดไหลย้อน
- เป็นกรดไหลย้อน เมื่อไรถึงต้องตรวจเพิ่มเติม?
- การรักษาโรคกรดไหลย้อน
- เมื่อไรถึงเรียกว่าเป็นกรดไหลย้อนเรื้อรังไม่หายขาด (Refractory GERD) ?
- กรดไหลย้อนเรื้อรัง อย่าปล่อยทิ้งไว้ รีบพบแพทย์
- ปรึกษาปัญหาสุขภาพ ไม่เสียค่าใช้จ่าย
สาเหตุการเกิดโรคกรดไหลย้อน (GERD)


- หูรูดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารหลวมและคลายตัว ซึ่งปกติต้องรัดตัวแน่นไม่ให้อาหารย้อนกลับขึ้นมาหลอดอาหารเวลาทานข้าว (Gastroesophageal junction incompetence)
- มีกรดในกระเพาะอาหารหรือน้ำย่อยไหลย้อนจากกระเพาะขึ้นมาหลอดอาหาร (Acid or non-acid reflux)
- การบีบตัวของหลอดอาหารเพื่อขับกรดหรือน้ำย่อยไม่ดีพอ (Impaired esophageal acid clearance)
- เยื่อบุหลอดอาหารมีความไวต่อกรด ทำให้ระคายเคืองง่าย (Esophageal hypersensitivity)
ปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อโรคกรดไหลย้อน
กรดไหลย้อนเกิดจากอะไร โรคนี้มักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน โดยปัจจัยหลัก ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคนี้ ได้แก่ พฤติกรรมการรับประทานแล้วนอนทันที ความอ้วน น้ำหนักเกินที่ทำให้มีความดันท้องเพิ่มมากขึ้น การรับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว รสจัด รวมไปถึงการสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการดื่มน้ำอัดลมบ่อย ๆ ก็จะทำให้อาการกำเริบได้
อาการกรดไหลย้อน


อาการที่พบบ่อยของกรดไหลย้อน หรือ GERD คือ แสบร้อนหน้าอก (heartburn) และเรอ (regurgitation) แต่กรดไหลย้อนก็สามารถมาได้ด้วยอาการอื่น ๆ ได้หลายแบบ อาจแบ่งได้เป็น 4 แบบ ดังนี้
อาการในหลอดอาหาร
- มีเยื่อบุหลอดอาหารปกติ มีอาการแสบร้อน เรอเปรี้ยว (Typical reflux syndrome) และ แสบร้อนอก (Reflux chest pain syndrome)
- มีเยื่อบุหลอดอาหารอักเสบ อาจมีหลอดอาหารตีบ ภาวะการอักเสบเรื้อรังของหลอดอาหาร (Barrett’s esophagus) อาจมีเซลล์ผิดปกติ และมะเร็งหลอดอาหาร
อาการนอกหลอดอาหาร
- กรดไหลย้อน อาการที่เกี่ยวข้องโดยตรง ได้แก่ ไอจากกรดไหลย้อนมาระคายเคืองคอ เส้นเสียงอักเสบ หอบหืดกำเริบ ฟันผุ
- น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับกรดไหลย้อนแต่ยังไม่ชัดเจน ได้แก่ คออักเสบ ไซนัสอักเสบ มีพังผืดในปอด หูชั้นกลางอักเสบ

เป็นกรดไหลย้อน เมื่อไรถึงต้องตรวจเพิ่มเติม?
ในกรณีที่โรคกรดไหลย้อนอาการไม่ดีขึ้น หรือเป็นเรื้อรังไม่หายขาด อาจจำเป็นต้องตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง หรือมีอาการที่บ่งชี้ดังนี้
อาการกรดไหลย้อนที่บ่งบอกว่าควรส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน
- เพิ่งมีอาการหลังอายุ 60 ปีขึ้นไป
- มีเลือดออกทางเดินอาหาร (อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายสีดำ ถ่ายเป็นเลือด หรือมีภาวะโลหิตจาง)
- เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- กลืนติด กลืนลำบาก กลืนแล้วเจ็บคอ
- คลื่นไส้อาเจียนไม่หาย
- มีประวัติมะเร็งในครอบครัว
- รักษาด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น
สถานการณ์ที่ควรตรวจกรดไหลย้อนขึ้นหลอดอาหาร pH monitoring
- เพื่อวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนที่แน่นอน เมื่อสงสัยโรคกรดไหลย้อน แล้วรักษาด้วยยา อาการไม่ดีขึ้น
- ประเมินก่อนที่จะรักษาโรคกรดไหลย้อนด้วยการผ่าตัด
การรักษาโรคกรดไหลย้อน


โรคกรดไหลย้อน รักษาให้หายขาด ไม่สามารถรักษาด้วยแพทย์อย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยด้วย โดยภาพรวมแล้ว แบ่งการรักษาเป็น 3 ส่วน คือ อาหาร พฤติกรรมการใช้ชีวิต และยารักษากรดไหลย้อน โดยรายละเอียดดังต่อไปนี้
ปรับพฤติกรรมการทานอาหาร
- ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารแบบไหนแล้วมีอาการ ให้หลีกเลี่ยงอันนั้น
- หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ เช่น อาหารรสจัด มัน ดอง
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม สุรา น้ำอัดลม กาแฟ
- ทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ แต่ลดปริมาณในแต่ละมื้อ (frequent small meals)
- หลีกเลี่ยงการทานปริมาณเยอะในมื้อเดียว (overeating)
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- ลดน้ำหนักในผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วน
- ยกหัวเตียงสูงเวลานอน หรือนอนหนุนหมอน
- หลีกเลี่ยงการกินแล้วนอนภายใน 2-3 ชม.
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- งดสูบบุหรี่
การรักษาด้วยยารักษา
- แพทย์จะให้ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
- ยากระตุ้นการบีบตัวของทางเดินอาหาร
- ยาเคลือบกระเพาะ
- ยาคลายความเครียด
เมื่อไรถึงเรียกว่าเป็นกรดไหลย้อนเรื้อรังไม่หายขาด (Refractory GERD) ?
ผู้ป่วยที่มีอาการโรคนี้อยู่ตลอด หลังกินยาลดกรดขนาดปกติ มากกว่าหรือเท่ากับ 8 สัปดาห์ อาการก็ยังไม่ทุเลา จำเป็นต้องตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อค้นหาสาเหตุที่ผู้ป่วยมีอาการไม่หายสักที มีสาเหตุมาจากกรดไหลย้อนจริง ๆ หรือเป็นจากสาเหตุอื่น ๆ โดยมีวิธีดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังไม่หาย ดังนี้
- สิ่งแรกที่ควรทำ คือ ตรวจสอบให้แน่ชัดว่าได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดูแลเรื่องการรับประทานอาหาร และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อน ตามที่แพทย์แนะนำครบหรือยัง
- ตรวจสอบตนเอง และปรึกษาแพทย์เพื่อปรับยากรดไหลย้อน เช่น รับประทานยาครบตามที่แพทย์สั่งหรือไม่ ตรวจสอบว่าเราทานยาถูกต้องหรือไม่ ปรึกษาแพทย์ปรับยาลดกรด หรือเพิ่มยากลุ่มอื่น ๆ
- ส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบนเพื่อหาโรคอื่น ๆ ที่อาจซ่อนอยู่ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการทางหลอดอาหารของโรคกรดไหลย้อน เช่น แสบร้อนอก เรอเปรี้ยว และเพื่อประเมินความรุนแรงของกรดไหลย้อน เช่น มีเยื่อบุหลอดอาหารอักเสบ ประเมินหูรูดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารว่าหย่อนหรือไม่
- ปรึกษาแพทย์หูคอจมูกหรือแพทย์โรคภูมิแพ้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการนอกหลอดอาหารของโรคกรดไหลย้อน เช่น กรดไหลย้อนขึ้นมาระคายเคืองคอเสียงแหบไอบ่อยแนะนำปรึกษาแพทย์หูคอจมูก หรือแพทย์โรคภูมิแพ้ มาช่วยตรวจว่าอาการดังกล่าวข้างต้น มีสาเหตุมาจากกรดไหลย้อนไม่ได้มีโรคทางหูคอจมูกซ่อนอยู่
- ตรวจดูด้วยเครื่องมือพิเศษว่ามีกรดหรือน้ำย่อยที่ไม่ใช่กรดไหลย้อนขึ้นมาหรือไม่ (Reflux and pH monitoring)
- มีกรดไหลย้อนขึ้นมาทางเดินอาหารจริงหรือไม่
- ถ้าไม่มีกรดไหลย้อน มีน้ำย่อยหรืออย่างอื่นที่ไม่ใช่กรดไหลย้อนขึ้นมาหรือไม่
- หลังทานยาลดกรดแล้วยาสามารถยับยั้งกรดได้หรือไม่
- กรดหรือน้ำย่อยที่ไหลย้อนขึ้นมาสัมพันธ์กับอาการของผู้ป่วยหรือไม่
- ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้อาจมีผลช่วยเลือกการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยเป็นราย ๆ ต่อไป
กรดไหลย้อนเรื้อรัง อย่าปล่อยทิ้งไว้ รีบพบแพทย์
อย่างไรก็ตามการรักษากรดไหลย้อนควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย เพราะแต่ละคนอาจมีรายละเอียดของโรคที่ไม่เหมือนกัน หากมีอาการที่บ่งบอกถึงโรคนี้อย่าปล่อยไว้เรื้อรัง ควรเข้ามาพบแพทย์ โดยศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลนครธน พร้อมให้บริการแบบครบวงจร (One Stop Service) ทั้งวินิจฉัยและรักษาโรค อาทิ ไขมันพอกตับ ถ่ายเป็นเลือด ด้วยห้องทำหัตถการส่องกล้อง ห้องเตรียมลำไส้ และห้องพักฟื้นที่ทันสมัย ผู้ป่วยทุกรายจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์เฉพาะทาง วิสัญญีแพทย์ พยาบาลวิชาชีพ และเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ ที่พร้อมให้บริการด้วยความเอาใจใส่ เพื่อลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนและเร่งการฟื้นตัวของผู้ป่วย
ช่องทางติดต่อโรงพยาบาลนครธน:
- - Website : https://www.nakornthon.com
- - Facebook : Nakornthon Hospital
- - Line : @nakornthon
- - Tel: 02-450-9999 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
บทความทางการแพทย์ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ