การเติมเต็มให้กับผิวพรรณ ปรับผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ด้วย Juvederm

ศูนย์ : ศูนย์ผิวหนังและความงาม

บทความโดย :

การเติมเต็มให้กับผิวพรรณ ปรับผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ด้วย Juvederm

เมื่อเวลาผ่านไป ใบหน้าที่ดูเต่งตึงเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มสาวก็คงต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เนื่องจากคอลลาเจนมีการเสียสมดุลและการสร้างลดลงไม่สามารถทดแทนคอลลาเจนที่เสื่อมสลายไปได้ทันเวลา สิ่งที่ตามมาก็คือ ปัญหาริ้วรอย ใบหน้ามีความหย่อนคล้อย ใบหน้าดูตอบลง สันจมูกไม่ชัดเหมือนเดิม ร่องแก้ม ร่องมุมปาก รวมถึงร่องใต้ตาและโหนกแก้มไม่สวยงามดังเดิม

  1. การใช้เลเซอร์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว รวมถึงเครื่องยกกระชับใบหน้าโดยการใช้คลื่นวิทยุ และอัลตราซาวด์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยผิวที่หย่อนคล้อย ไม่เข้ารูปและช่วยทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  2. การฉีดสารเติมเต็ม (fillers) เข้าไปเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังเพื่อช่วยลดปัญหาพวกร่องลึก หรือริ้วรอยที่ติดแน่นกับผิว ได้แก่ ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ร่องใต้ตาริ้วรอยลึกบริเวณหางตา หน้าผาก ขมวดคิ้ว รวมถึงการเติมเต็มสวนบกพร่องของใบหน้า เช่น โหนกแก้ม จมูก คาง ริมฝีปาก เพื่อปรับใบหน้าให้ดูดีมีมิติได้สัดส่วนที่สวยงามมากขึ้น รวมถึงช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง

ปัจจุบัน fillers (ฟิลเลอร์) ที่ปลอดภัยจะเป็นกลุ่มที่อยู่ได้ระยะเวลาหนึ่งนานพอควร แต่อยู่ไม่ถาวรตลอดไป (non permanent) เนื่องจาก fillers ที่อยู่ได้ถาวรมักจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ค่อนข้างมาก fillers ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นสาร ไฮยาลูโรนิค แอซิด (hyaluronic acid) ซึ่งเป็นสารประกอบน้ำตาลเชิงซ้อน เป็นส่วนประกอบของผิวหนังของคนเราตามธรรมชาติอยู่แล้ว มีคุณสมบัติเป็นสารอุ้มน้ำทำให้เกิดการสร้างผิวใหม่ขึ้นมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปนั่นเอง

การเลือก fillers ที่จะใช้มีความสำคัญค่อนข้างมาก ควรเป็นชนิดที่ปลอดภัยและผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา และมั่นใจได้ว่าสามารถสลายได้เมื่อไม่ต้องการ ที่สำคัญต้องไม่ตกค้างในร่างกายและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

ในอดีตที่ผ่านมา fillers ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและปลอดภัยมักมีปัญหาอาการปวดและเจ็บขณะที่ทำการฉีดส่งผลให้คนไข้รู้สึกไม่ค่อยอยากเข้ารับการรักษาเติมเต็มด้วยการฉีด fillers เท่าที่ควร รวมทั้งข้อเสียที่โมเลกุลตัว hyaluronic acid ก็สลายไปเร็วเกินกว่าที่จะเป็น ทำให้ต้องเจ็บตัวบ่อย รวมทั้งบางครั้งหลังการฉีดมีการบวมเป็นก้อนไม่เป็นเนื้อเดียวกับผิวในบริเวณที่ทำการรักษา

ปัจจุบันพบว่า Juvederm ซึ่งเป็น fillers ในกลุ่ม hyaluronic acid เช่นกัน สามารถขจัดปัญหาเรื่องความเจ็บปวดขณะฉีดออกไปได้ อีกทั้งโมเลกุลของ hyaluronic acid ก็สามารถอยู่ได้ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าตัว fillers ตัวเดิม รวมทั้งผู้รับการรักษาก็สบายใจได้ในเรื่องของความปลอดภัยเพราะผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของไทยแล้วเช่นกัน


Juvederm มีข้อแตกต่างจาก fillers ตัวเดิมที่ใช้กันอยู่อย่างไรบ้าง

  • ในขบวนการผลิตมีการผสมยาชา เข้าไปในโมเลกุลของ hyaluronic acid เรียบร้อย ทำให้ขณะฉีดมีความรู้สึกเจ็บน้อยลงมาก จนแทบไม่รู้สึกเลย คนไข้จะรู้สึกสบายมากขึ้น
  • โมเลกุลของ hyaluronic acid ที่เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่แขวนลอยอยู่กับตัวนำพาเหมือน fillers ตัวอื่นๆ ข้อได้เปรียบนี้ทำให้ Juvederm อยู่ได้นานขึ้นไม่สลายออกจากผิวหนังเราเร็วเกินไปนัก รวมถึงลดโอกาสการเกิดก้อน หรือผิวไม่เรียบหลังฉีดรวมทั้งความรู้สึกไม่เป็นเนื้อเดียวกันกับผิวในบริเวณที่ฉีดได้
  • Juvederm ลดโอกาสการกระจายตัวหรือไหลออกไปสู่บริเวณข้างเคียงได้ค่อนข้างมากกว่า และทำให้ใช้ยาปริมาณน้อยลงเนื่องจากไม่ได้ยุบลงหลังฉีดมากเหมือน fillers ตัวอื่น และได้ผลการรักษาที่สวยงามมากขึ้น
  • Juvederm มีความเข้มข้นของปริมาณ hyaluronic acid ต่อ 1 มิลลิลิตร (ml) ในปริมาณที่มากกว่า fillers ตัวอื่นๆ

Juvederm มีข้อห้ามใช้ในกรณีต่อไปนี้

  • ผู้ป่วยที่มีปฎิกิริยาแพ้ต่อสาร hyaluronic acid
  • ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยาชา
  • หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
  • ผู้ป่วยที่มีโอกาสหรือประวัติการเกิดแผลเป็นนูนได้ง่าย
  • ไม่ควรได้รับการฉีด Juvederm ควบคู่กับการทำเลเซอร์ที่เกิดแผล หรือการลอกผิวหน้าในบริเวณที่ทำการฉีด
  • ไม่ควรฉีด Juvederm ในบริเวณที่ผิวหนังมีการอักเสบ หรือมีการติดเชื้อ

ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีด Juvederm ทุกครั้ง เพื่อให้แพทย์ประเมินและเลือกชนิดของ Juvederm ที่เหมาะสมกับปัญหา


ข้อควรหลีกเลี่ยงเมื่อได้รับการรักษาโดย Juvederm ก็เหมือนกับการฉีด fillers ทั่วไป ได้แก่

  • หลีกเลี่ยงการทำ LASER หรือ treatment ประมาณ 2 สัปดาห์
  • งดการดื่ม alcohol หรือสูบบุหรี่ประมาณ 2-3 วันเพื่อลดอาการบวม แดง และช้ำ บริเวณที่ฉีด

Share :

สินค้าในตระกร้าไม่ถูกต้องตามเงื่อนไข, กรุณาตรวจสอบจำนวน
จัดการตระกร้าสินค้า

เมื่อคลิก “อนุญาตคุกกี้ทั้งหมด” หมายความว่าผู้ใช้งานยอมรับที่จะเปิดการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเปิดใช้คุณสมบัติของโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการทำการตลาดและการโฆษณา รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลการใช้งานกับพาร์ทเนอร์โซเชียลมีเดีย