หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย แค่เดินขึ้นบันไดที่ออฟฟิศไม่กี่ขั้นก็เล่นเอาเหนื่อยจนหมดแรง สูบบุหรี่เป็นประจำ เป็นโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว หรือมีญาติใกล้ชิดเป็นโรคหัวใจ บอกเลยว่าควรมาตรวจสุขภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกายหรือวิ่งสายพาน (EST: Exercise Stress Test) เพราะนอกจากมีความเสี่ยงที่จะเป็นภาวะหัวใจขาดเลือดแล้ว อาจก่อให้เกิดอันตรายได้โดยไม่รู้ตัว
สารบัญ
การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย คืออะไร
การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (EST: Exercise Stress Test) หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่า การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกายด้วยการเดินบนสายพาน หรือปั่นจักรยาน โดยวิธีนี้นิยมนำมาใช้บ่อยในการตรวจหาความผิดปกติของระบบหัวใจและหลอดเลือด ที่ตรวจไม่พบในขณะที่ร่างกายหยุดพัก หรือไม่ได้ออกกำลังกายอย่างหนัก เพราะเมื่อมีการออกกำลังกาย หัวใจจะต้องการใช้ออกซิเจนจากเลือดเพิ่มมากขึ้น
หากผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตันอยู่ ก็จะทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ มีผลทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจเปลี่ยนแปลงไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รู้ว่าบุคคลนั้นเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดอยู่หรือไม่ หัวใจผิดจังหวะอยู่หรือเปล่า ซึ่งบางรายอาจเกิดอาการเจ็บ จุกแน่นหน้าอก ขณะทำการทดสอบได้ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยทราบมาก่อนว่าตนเองเป็นโรคหัวใจอยู่
วิธีนี้จะช่วยให้แพทย์ตรวจพบการตอบสนองที่ผิดปกติได้ เช่น อาการหายใจลำบาก อาการเจ็บแน่นหน้าอก การเต้นของหัวใจผิดปกติ หรืออาจกล่าวได้ว่าวิธีนี้เป็นการตรวจสมรรถภาพของระบบไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ และระบบกล้ามเนื้อโดยรวมที่ตอบสนองต่อการออกกำลังกายนั่นเอง
ก่อนตรวจควรปฏิบัติดังนี้
- ผู้ที่จะมาตรวจควรงดอาหาร กาแฟ และสูบบุหรี่ก่อนการตรวจประมาณ 1-2 ชั่วโมง
- ควรงดรับประทานอาหารมื้อหนักๆ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ก่อนการทดสอบ เพื่อป้องกันอาการจุก เสียด
- ควรสวมเสื้อที่ใส่สบายๆ และรองเท้าที่เหมาะกับการเดินหรือวิ่งออกกำลัง
- ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหนักก่อนมาทำการตรวจภายใน 12 ชั่วโมง
- ควรสอบถามแพทย์ถึงยาที่รับประทานอยู่ ว่าควรหยุดก่อนการทดสอบหรือไม่ เช่น ยารักษาโรคหัวใจ ยารักษาความดันโลหิต เป็นต้น
ขั้นตอนในการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย
ขั้นตอนการตรวจก็ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อนอย่างที่คิด โดยแพทย์จะให้คนไข้เริ่มเดินช้าๆ บนเครื่องวิ่งสายพานแล้วจึงค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที จนเมื่อได้ข้อมูลที่เพียงพอในการวินิจฉัยแล้ว จึงหยุดการวิ่งนั้นได้ ทั้งนี้การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกายนั้น จะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจ เพราะคนไข้บางรายที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรคหัวใจ หรือมีอาการหัวใจผิดปกติมาก่อน อาจเป็นอันตรายได้
ใครบ้างที่ควรมาตรวจ
- สำหรับผู้ที่ควรมาตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย ได้แก่
- ผู้ที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป ทั้งชายและหญิง
- ผู้ที่มีอาการผิดปกติ หรือมีอาการที่สงสัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น รู้สึกใจสั่นขณะออกกำลังกาย เจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
- ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง
- ผู้ที่ปัญหาเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดของอวัยวะอื่นอยู่แล้ว
- ผู้ที่มีประวัติญาติใกล้ชิดเป็นโรคหัวใจ หรืออัมพาต
โรคที่เกี่ยวกับหัวใจเป็นโรคที่มีความเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อชีวิตสูง หลายคนเมื่อมีอาการเจ็บหน้าอกอาจไม่ได้เข้ามาพบแพทย์ทันที เพียงเพราะคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมาก พักผ่อนสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย จึงเกิดความชะล่าใจ รอจนกระทั่งอาการทรุดหนักแล้ว หรือไม่ก็มักจะมาตรวจภายหลัง ซึ่งหายจากอาการนั้นแล้ว ทำให้เมื่อตรวจด้วยคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) จึงไม่พบความผิดปกติ
แต่ทว่าการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (EST) จะทำให้สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้การรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่คิดว่าตนเองจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาจเป็นโรคหัวใจ ควรมาตรวจสุขภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพานซะตั้งแต่วันนี้กันเถอะ! สามารถปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลจากแพทย์ออนไลน์ได้เลย
ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
บทความทางการแพทย์ศูนย์หัวใจ