สัญญาณเตือนคุณแม่ใกล้คลอด เตรียมพร้อมได้ทันเวลา
ศูนย์ : ศูนย์สุขภาพสตรี
บทความโดย : พญ. สังวาลย์ เตชะพงศธร
หลายครั้งที่มีอาการจุก อึดอัด แน่นท้องขึ้นมาอยู่บ่อยๆ จนต้องเรอ หรือผายลมเพื่อระบายความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นภายในท้องจนเสียบุคลิกภาพ บางคนอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย และคนส่วนใหญ่มักเลือกทานยาบรรเทาอาการเพียงเท่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่าอาการเหล่านี้หากเป็นอยู่บ่อยครั้ง หรือเป็นๆ หายๆ อาจจะเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติจากร่างกาย ที่อาจตามมาด้วยโรคระบบทางเดินอาหารแล้วก็ได้
สารบัญ
อาการก่อนคลอด
อาการก่อนคลอดนั้น เมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายของการตั้งครรภ์ หรือในอีกไม่กี่สัปดาห์ก่อนถึงเวลาคลอด จะมีอาการสำคัญ 2-3 อย่างที่คุณแม่จะต้องเฝ้าสังเกตดู ซึ่งอาการบางอย่างที่เกิดขึ้นอาจพอมีช่วงเวลาให้คุณแม่ได้เตรียมความพร้อม
- เจ็บท้องเตือน ในช่วงใกล้คลอดมดลูกจะขยายตัวเต็มที่และเคลื่อนตัวลงต่ำ จึงรู้สึกได้ว่ามดลูกแข็งตัวบ่อยครั้งขึ้นจนสามารถคลำและรู้สึกได้ว่าเป็นก้อนแข็งๆ ที่บริเวณหน้าท้อง รวมทั้งมดลูกจะเริ่มบีบตัวทำให้ท้องแข็งเกร็ง แต่ยังไม่เป็นจังหวะที่แน่นอน การเจ็บท้องเตือนนี้มักจะเริ่มเป็นตอนตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน เพื่อเตรียมปากมดลูกให้บางลงพร้อมที่จะเปิด
- ทารกกลับหัว หมายถึง ศีรษะของทารกในครรภ์เข้าไปอยู่ในอุ้งเชิงกรานเตรียมพร้อมที่จะคลอด คุณแม่จะสังเกตได้ว่าความสูงของยอดมดลูกลดลง รู้สึกโล่งสบาย หายใจสะดวกขึ้นหรือที่เรียกกันว่า “ท้องลด” แต่มักจะปัสสาวะบ่อย เพราะศีรษะลูกกดเบียดกระเพาะปัสสาวะ หากมีอาการนี้ในท้องแรกจะคลอดภายใน 1 เดือน ส่วนท้องหลังจะคลอดภายในไม่กี่วัน
- มีมูกขาวข้นออกทางช่องคลอด เมื่อใกล้คลอดปากมดลูกจะเริ่มเปิด มูกที่อุดอยู่ปากมดลูกจะหลุดและไหลออกมาทางช่องคลอด มูกที่ออกมาจะเป็นสีขาวมีลักษณะเหนียวข้น และมักจะหลุดออกมาในช่วงก่อนการคลอดประมาณ 1-2 สัปดาห์
อาการใกล้คลอด
เมื่อถึงเวลาใกล้คลอดร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนให้รู้ ทั้งนี้ต้องสังเกตให้ดีว่าเป็นอาการเจ็บท้องเตือนหรือเจ็บท้องจริง เพราะหลายคนก็มีอาการใกล้คลอดแตกต่างกันออกไป บางคนอาจมีน้ำเดิน แล้วตามด้วยอาการเจ็บท้องในไม่ช้าโดยคุณแม่อาจลองสังเกตได้จากสัญญาณเตือนสำคัญเหล่านี้
- มูกเลือดออกทางช่องคลอด ปกติปากมดลูกของคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีมูกเลือดป้องกันสิ่งแปลกปลอม เมื่อใกล้คลอดปากมดลูกเริ่มเปิดและขยาย ทำให้เส้นเลือดที่บริเวณปากมดลูกมีการแตก จึงมีมูกเลือดไหลออกมา
- ถุงน้ำคร่ำแตก หรือที่เรียกกันว่า น้ำเดิน แสดงถึงการที่มดลูกเริ่มบีบตัวหดเล็กลงเพื่อบีบให้ศีรษะของเด็กเคลื่อนลงสู่อุ้งเชิงกราน น้ำที่ออกมาจะเป็นลักษณะใสๆ คล้ายน้ำปัสสาวะ ไม่มีกลิ่น ซึ่งอาจจะไหลพรวดออกมาหรือค่อยๆ ไหลออกมาก็ได้ อาการน้ำเดินมีโอกาสมากถึง 80% ที่จะคลอดภายใน 12 ชั่วโมง หากคุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการเช่นนี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- เจ็บท้องคลอด จะเป็นอาการเจ็บท้องรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในลักษณะที่เจ็บสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง นานขึ้นและถี่ขึ้นจนกว่ากระบวนการคลอดจะสิ้นสุดลง โดยอาการเจ็บท้องคลอดนี้จะรู้สึกว่าเริ่มเจ็บที่ส่วนบนของมดลูกก่อน แล้วเจ็บร้าวลงไปข้างล่าง ท้องแข็งตึง ถ้าเดินหรือเคลื่อนไหวก็จะเจ็บมากขึ้น ส่วนใหญ่มักจะมีมูกปนเลือดออกมาทางช่องคลอดมากขึ้น
วิธีสังเกตอาการ “เจ็บท้องเตือน” และ “เจ็บท้องคลอด”
เจ็บท้องเตือน | เจ็บท้องคลอด |
---|---|
เกิดไม่สม่ำเสมอ เป็นๆ หายๆ | สม่ำเสมอ เช่น ปวดทุก 10 นาที |
เจ็บห่างๆ เช่น ชั่วโมงละครั้ง | เจ็บถี่ขึ้น จากปวดทุก 10 นาที เป็น 5 นาที |
ความรุนแรงในการปวดไม่มาก | ปวดแรงขึ้นเรื่อยๆ |
ปวดท้องน้อย | ปวดส่วนบนของมดลูก หรือยอดมดลูกและแผ่นหลัง |
ให้ยาแก้ปวด อาการปวดหาย มดลูกหยุดบีบตัว | อาการปวดลดลง แต่มดลูกยังคงบีบตัว |
ปากมดลูกไม่เปิดขยาย | ปากมดลูกเปิดขยาย |
นอกจากอาการเจ็บท้องเตือน หรือเจ็บท้องคลอดแล้ว หากมีอาการและสัญญาณเตือนอื่นๆ เพิ่มเติมในช่วงไตรมาสสุดท้าย ได้แก่ มีเลือดออกทางช่องคลอด ลูกไม่ดิ้นหรือดิ้นน้อย มีไข้หรือหนาวสั่น น้ำคร่ำเป็นสีน้ำตาล เขียว เหลือง หรือสีอื่นๆ นอกเหนือจากสีใสหรือสีชมพู รวมทั้งอาเจียนไม่หยุด ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที
ทั้งนี้ โดยทั่วไปการเจ็บท้องคลอดจริงใช้เวลา 8-12 ชั่วโมง กว่าปากมดลูกจะเปิดขยาย คุณแม่ควรทำใจให้สบายเพื่อที่จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นและรับมือกับความเจ็บปวดได้ดีขึ้น
ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
บทความทางการแพทย์ศูนย์สุขภาพสตรี