ลำไส้แปรปรวน อาการเจ็บป่วยที่พึงระวัง
ศูนย์ : ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ
กังวลหรือไม่ หากเกิดอาการปวดท้อง มวนท้อง ไม่สบายท้อง ขับถ่ายผิดปกติ ถ่ายท้องบ่อย ท้องเสีย หรือ ท้องผูก และมักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เวลาที่เราเร่งรีบ ติดธุระ และ มีภารกิจสำคัญในชีวิต
โรคลำไส้แปรปรวน เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยส่วนใหญ่มักจะพบในคนที่อายุไม่มาก คนที่ทำงานด้วยความเครียด ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ทำอันตรายร้ายแรง แต่ทำให้คนที่เป็นจะมีความรู้สึกไม่ค่อยสบาย มีผลกระทบต่อการทำงาน และกระทบต่อชีวิตประจำวัน
โดยอาการส่วนใหญ่ที่จะมาพบคุณหมอ คือ มีอาการปวดท้อง โดยเฉพาะอาการปวดบริเวณด้านล่างของท้อง มีอาการมวนท้อง ไม่ค่อยสบายท้อง มีอาการร่วมกับการขับถ่ายอุจจาระที่ผิดปกติ บางคนก็อาจจะมีอาการท้องผูก บางคนจะถ่ายท้องบ่อย หรือ ถ่ายท้องเสีย บางคนจะมีอาการผสมร่วมกันไป ซึ่งอาการเหล่านี้ ล้วนกระทบต่อการใช้ชีวิต ต่อการทำงาน การเดินทาง และ ปฏิบัติภารกิจของเราแทบทั้งสิ้น
โรคลำไส้แปรปรวน วินิจฉัยฯ ต้องใช้เวลา
สาเหตุของโรคลำไส้แปรปรวนนั้น มีหลายอย่าง ทั้งจากความเครียด ความเร่งรีบในการทำงาน เช่น ต้องสอบ ต้องจัดการธุระซึ่งใช้ความตั้งใจ ใช้การตัดสินใจมาก ทำให้มีอาการปวดท้องขึ้นมาได้ ซึ่งก่อนที่จะแก้ปัญหา คุณหมอต้องใช้ระยะเวลาสักช่วงหนึ่ง เพราะหากจะทำการวินิจฉัย ต้องใช้ระยะเวลาที่นานพอสมควร เพราะโรคนี้โดยส่วนใหญ่ไม่มีผลอันตรายอะไรร้ายแรง ผู้ป่วยต้องมีอาการเป็นระยะเวลากว่า 6 เดือนขึ้นไป คุณหมอจึงจะทำการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลำไส้แปรปรวนได้
เหตุผลสำคัญเพราะแม้ว่า โรคลำไส้แปรปรวนจะไม่มีอาการร้ายแรง แต่การวินิจฉัยต้องแยกแยะโรคให้ชัดเจนจากโรค เพราะว่า จะมีโรคที่มีอาการคล้ายคลึงกับอาการลำไส้แปรปรวน เช่น โรคลำไส้อักเสบ ลำไส้ติดเชื้อ มะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะพบในคนที่อายุเยอะขึ้น หรือ คนที่มีอายุเกินกว่า 50 ปี ซึ่งบางครั้งก็จะมีอาการนำมา หรือ ความเจ็บป่วยคล้ายคลึง โรคลำไส้แปรปรวนเช่นเดียวกัน ซึ่งหากเป็นโรคอะไรที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ใหญ่อย่างแท้จริง อาการในระยะเวลา 6 เดือน จะเริ่มมีอาการให้เห็น จึงจะสามารถทำการวินิจฉัยได้
ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่า ทำไมคุณหมอจึงจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ก่อนจะทำการวินิจฉัยได้ชัดเจน ดังนั้น เมื่อเลยระยะเวลา 6 เดือน และ ไม่พบกับอาการใดแล้ว ก็จะทำการวินิจฉัยว่า เป็น อาการของลำไส้แปรปรวน ซึ่งโรคในกลุ่มนี้ คุณหมอก็จะให้ความมั่นใจกับผู้ป่วยว่า โรคในกลุ่มนี้ ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลนัก รักษา และปฏิบัติเพื่อให้หายเจ็บป่วยจากอาการของ โรคลำไส้แปรปรวน ได้ไม่ยากเย็นนัก
สำไส้แปรปรวน รวนวิถีชีวิต
สำหรับความเกี่ยวเนื่องของโรคลำไส้แปรปรวน นอกเหนือจากภาวะความเครียด ยังเป็นเรื่องของความกังวลใจ ที่จะส่งผลทำให้มีอาการของโรคขึ้นมาได้ อีกสาเหตุที่จะทำให้มีอาการดังกล่าวขึ้นมาได้ เช่น การติดเชื้อในลำไส้มาก่อน ในกรณีที่ผู้ป่วยกินอาหารแล้ว มีอาการอาหารเป็นพิษ ท้องเสีย และมีอาการลำไส้แปรปรวนติดตามมา ซึ่งอาการในกลุ่มนี้ ก็จะมีอาการที่ไม่นานมาก เป็นเพียงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะมีอาการที่ดีขึ้นเอง และผู้ป่วยก็จะค่อยฟื้นตัว
ในกรณีของอาการลำไส้แปรปรวน ถ้าผู้ป่วยไม่มาทำการรักษา ก็จะมีอาการไม่สบายตัว ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน กระทบต่อการทำงาน บางคนอาจจะมีอาการรุนแรง เช่น พอจะออกจากบ้าน ก็มักเริ่มต้นอาการลำไส้แปรปรวน พอขับรถออกไป ก็จะต้องวิ่งหาปั๊มน้ำมันเพื่อเข้าห้องน้ำ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่สามารถไปปฏิบัติภารกิจในชีวิตได้ ซึ่งอาการของลำไส้แปรปรวนล้วนกระทบต่อวิถีชีวิต ในกรณีสำหรับผู้ที่มีปัญหามาก แต่ในกรณีที่ไม่ประสบปัญหามาก พอจะคุมอาการของตนเองได้ ก็จะไม่ได้มีอาการใดรุนแรงที่จะกระทบต่อวิถีชีวิต การปฏิบัติภารกิจในชีวิตประจำวัน
ก่อนวินิจฉัยลำไส้แปรปรวน ต้องชวนระวัง
สิ่งที่จะต้องระมัดระวัง ก่อนจะมีข้อวินิจฉัยอย่างชัดเจนในระยะเวลา 6 เดือน เช่น หากถ้ามีอาการขับถ่ายผิดปกติ มีเรื่องของอาการปวดท้องร่วมด้วย ต้องสังเกตว่า มีอายุเกินกว่า 50 ปี หรือว่ามีประวัติครอบครัวเกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็จะต้องมาทำการตรวจก่อนว่า จะมีภาวะของเนื้องอกในลำไส้ หรือ มะเร็งลำไส้ใหญ่หรือไม่ เพราะว่าจะมีอาการที่คล้ายกัน
ถ้าในกรณีผู้ที่อายุน้อย ก็จะมาตรวจร่างกาย ตรวจอุจจาระดู หลังจากคุณหมอให้ยาไปทานแล้ว ยังไม่มีอาการทุเลา ก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยที่ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น เช่น การส่องกล้อง เพื่อดูในลำไส้ใหญ่ว่ามีอะไรที่ผิดปกติหรือไม่ ถ้าตรวจดูแล้วพบว่า ไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติ ก็อาจจะใช้ยาเพื่อปรับการทำงานของลำไส้ ในการทำให้ลำไส้ทำงานได้สมดุลย์ขึ้น อาการปวด หรืออาการขับถ่ายที่ผิดปกติ ก็จะน้อยลง
อาจจะเรียกว่า มีอาการที่คล้ายกัน ซึ่งบางที คนที่มีอายุมาก หรือ ผู้ที่มีประวัติว่า ญาติพี่น้องเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ แล้วบางทีมาด้วยอาการที่พฤติกรรมการขับถ่ายผิดปกติ หรือว่ามีอาการปวดท้อง บางทีอาจมีการละเลย หรือได้ข้อมูลมาว่า อาการคล้ายกัน ทำให้บางครั้งซื้อยามาทานเอง ขณะที่ยังคงมีโรคหรือสาเหตุแท้จริงอยู่ อาจทำให้การวินิจฉัยล่าช้าไป
ดังนั้น เราต้องคอยสังเกตตัวเองว่า มีอาการอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ รักษาแล้วอาการรุนแรงขึ้น แย่ลงหรือไม่ ซึ่งถ้ามาตรวจพบในระยะเริ่มต้น ก็จะทำให้เราวินิจฉัยได้ตรงจุด คุณหมอก็จะได้ให้การรักษาที่ทันท่วงที ซึ่งจะมีอาการที่คล้ายกัน
โรคลำไส้แปรปรวน พบมากและเพิ่มขึ้น
การหลีกเลี่ยงภาวะความเสี่ยง ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวน ประการสำคัญที่พึงระมัดระวัง คือ ในเรื่องพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งไม่ควรเร่งรีบจนเกินไป ในผู้ป่วยบางกรณี ต้องระมัดระวังในเรื่องการรับประทานอาหาร เพราะบางคนกินอาหารเข้าไปก็มีการกระตุ้นให้เกิดอาการขึ้นมา หรือแม้แต่การรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด ซึ่งทำให้มีอาการติดเชื้อขึ้นมา ก็ส่งผลให้เกิดอาการลำไส้แปรปรวน ติดตามมาได้
การปรับพฤติกรรมอาจจะทำได้ไม่ง่ายนัก เช่น ผู้ป่วยที่เป็นกรดไหลย้อน การปรับพฤติกรรมก็จะมีส่วนช่วย อาการลำไส้แปรปรวน สำหรับบางคนถ้ามีอาการ มีสิ่งเร้า มีสิ่งกระตุ้นก็จะมีอาการในช่วงระยะเวลาหนึ่ง สำหรับบางคนไม่ได้มีอาการรุนแรงมากก็จะหายไป สำหรับคนที่มีอาการรุนแรงมาก ก็จะต้องใช้ยาเพื่อช่วยในการรักษา เพื่อให้อาการบรรเทาลง และสามารถที่จะดำเนินกิจกรรมประจำวันได้
ซึ่งในกรณีของผู้ป่วยที่มีอาการปรับยาก อาจจะต้องมีการใช้ยาบางอย่างเข้าช่วยเหลือ เช่น ผู้ป่วยมีภาวะเครียด อาจต้องใช้ยาเพื่อช่วยลดความวิตกกังวล หรือ ลดความเครียดเข้าช่วย โดยคนไข้กลุ่มที่มีอาการต่อเนื่อง จะมีสัดส่วนที่ไม่เยอะสักเท่าไร เพราะส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน จะมีลักษณะอาการเจ็บป่วยเป็นๆหายๆ ไม่ได้เป็นตลอดเวลา แต่ก่อให้เกิดปัญหาความรู้สึกรำคาญใจ และไม่สบายตัว
เพื่อการดูแลตัวเองให้ปลอดจากโรคลำไส้แปรปรวน และ ไม่ก่อให้เกิดโรคอื่นติดตามมาว่า ถ้ายังคงมีอาการต่อเนื่อง หรือยังเจ็บป่วยอยู่ ผู้ป่วยต้องมาติดตามดูว่า เป็นอาการอย่างอื่น หรือโรคอย่างอื่นเกิดขึ้นมาภายหลังหรือไม่
รู้หรือไม่ โรคลำไส้แปรปรวน
- โรคลำไส้แปรปรวน มีอาการเจ็บปวด มวนท้อง ไม่สบายท้อง ถ่ายท้องบ่อย หรือ ท้องผูก
- สาเหตุสำคัญ เกิดได้หลายประการ ทั้งจากความเครียด วิถีชีวิต และความผิดปกติของร่างกาย
- การวินิจฉัยโรคลำไส้แปรปรวน ต้องใช้ระยะเวลา เพราะมีอาการร่วมคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ
- โรคลำไส้แปรปรวน เริ่มต้นแก้ไขด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- หากโรคลำไส้แปรปรวนรุนแรง อาจต้องรักษาด้วยการใช้ยา
- ระวังความเกี่ยวเนื่องกับโรคเกี่ยวกับลำไส้ ดังนั้น ต้องติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
บทความทางการแพทย์ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ