สมาธิสั้น ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
ศูนย์ : ศูนย์สุขภาพเด็ก
“สมาธิสั้น”หรือเรียกว่า ADHD (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) เกิดจากความผิดปกติในการของสมองบางส่วนทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทำให้ไม่มีสมาธิ วอกแวกง่าย อยู่ไม่นิ่ง ซน ควบคุมพฤติกรรมตัวเองได้ยากและหุนหันพลันแล่น เป็นต้น ดังนั้นหากรู้เท่าทันและรักษาโรคสมาธิสั้นได้อย่างทันท่วงที ก็สามารถทำให้เด็กมีอาการที่ดีขึ้นได้
เหตุใดถึงเกิดสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้นเกิดจากความผิดปกติของสมอง คือ มีปริมาณสารเคมีบางตัวในสมอง (Dopamine, Noradrenaline) น้อยกว่าเด็กปกติ โดยเฉพาะในสมองส่วนหน้า ที่ควบคุมเรื่องสมาธิ ความจดจ่อ การยับยั้งชั่งใจ และการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทำงานน้อยกว่าเด็กปกติ
โดยการเกิดสมาธิสั้นนั้นยังหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกัน เช่น กรรมพันธุ์ การสูบบุหรี่ของมารดาระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดก่อนกำหนด ภาวะแทรกซ้อนอื่นระหว่างตั้งครรภ์ เป็นต้น ในด้านของการเลี้ยงดู การดูทีวี และการเล่นเกมไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงของโรคสมาธิสั้น แต่อาจส่งผลให้อาการสมาธิสั้นเกิดมากขึ้นได้
อาการของเด็กสมาธิสั้น (ตามเกณฑ์วินิจฉัยของ DSM-5)
อาการของเด็กสมาธิสั้น สามารถแย่งออกได้ 3 กลุ่มดังนี้
- อาการขาดสมาธิ หรือ สมาธิสั้น
- ไม่สามารถทำงานที่ครูหรือพ่อแม่สั่งจนสำเร็จได้
- ดูเหมือนไม่ค่อยฟังเวลาพูดด้วย
- ขาดสมาธิในขณะทำงานหรือทำกิจกรรมอื่น
- ไม่สามารถตั้งใจฟังและเก็บรายละเอียดได้ ทำให้ทำงานผิดพลาดบ่อยๆ
- ไม่ค่อยเป็นระเบียบ
- พยายามหลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้ความคิดหรือสมาธิ
- วอกแวกง่าย
- ทำของใช้ส่วนตัวหรือของใช้ที่จำเป็นหายอยู่บ่อยๆ
- ขี้ลืม
- อาการซน อยู่ไม่นิ่ง
- ยุกยิก อยู่ไม่สุข
- นั่งไม่ติดที่ ลุกเดินบ่อยๆ
- ชอบวิ่ง ปีนป่าย
- เล่นเสียงดัง
- ตี่นตัวตลอดเวลา
- อาการหุนหันพลันแล่น
- พูดมาก
- พูดโพล่งโดยยังฟังไม่จบ
- รอคอยไม่เป็น มักจะขัดจังหวะหรือแทรกเวลาผู้อื่นพูด
- คิดอะไรจะทำทันที
- พูดสวน ตอบก่อนผู้ถามจะถามจบ
- ไม่อดทนพอที่จะทำสิ่งนั้น
หากมีอาการในข้อ 1 หรือ 2 มากกว่า 6 อาการขึ้นไป โดยที่อาการเกิดก่อนอายุ 12 ปี ซึ่งอาจมีลักษณะเด่นเฉพาะ 1 หรือข้อ 2 หรือทั้งสองข้อ มีโอกาสที่จะเป็นโรคสมาธิสั้นได้
เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นดูแลรักษาอย่างไร
การรักษาโรคสมาธิสั้นมีเป้าหมาย คือ การช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมตัวเองให้มีความตั้งใจเรียนและทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งอาจต้องได้รับการรักษาหลายด้านร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น ด้านการรักษาด้วยยา เพื่อปรับสมดุลสารเคมีในสมอง ทั้งผู้ปกครองและครูสามารถใช้การปรับพฤติกรรมช่วยเด็กได้โดยมีแนวทางดังนี้
- จัดทำตารางเวลากิจกรรมในแต่ละวันให้มีระเบียบแบบแผน ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน
- จำกัดเวลาการดูทีวี / เล่นเกมคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือแท็บเล็ต
- จัดหาสถานที่ที่เหมาะสมในการทำการบ้านโดยไม่มีสิ่งรบกวน และอาจต้องมีผู้ใหญ่ประกบระหว่างทำการบ้านหากเด็กวอกแวกหรือหมดสมาธิง่าย
- พูดหรือสั่งงานในขณะที่เด็กพร้อมฟัง ให้เด็กพูดทวนคำสั่งก่อนลงมือปฏิบัติ
- สั่งงานที่ละขั้นตอนให้กระชับ เข้าใจง่าย และคอยกำกับให้ทำจนเสร็จ
- ผู้ปกครองควรสงบอารมณ์และใช้ท่าที่จริงจังในการจัดการหากเด็กทำผิด และลดการลงโทษหากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาจากโรค
- บอกเด็กล่วงหน้าถึงสิ่งที่ต้องการให้ปฏิบัติและชื่นชมทันทีเมื่อเด็กทำได้
- ให้เด็กมีโอกาสได้ใช้พลังงานให้เป็นประโยชน์ เช่น เล่นกีฬาหรือช่วยงานบ้านที่สามารถทำได้
- ในระหว่างที่อยู่โรงเรียน ทางโรงเรียนและครูสามารถช่วยดูแลได้ เช่น จัดที่นั่งใกล้โต๊ะครู ห่างจากประตู หน้าต่าง เขียนการบ้านบนกระดานให้ชัดเจน หลีกเลี่ยงการสั่งงานด้วยวาจา ตรวจสมุดจดงานว่าทำงานได้ครบถ้วนหรือไม่
- หากเด็กหมดสมาธิระหว่างเรียน อาจจัดกิจกรรมเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น ช่วยลบกระดานดำ หรือแจกหนังสือ
- ทางโรงเรียน หรือ ครูควรติดต่อประสานงานกับผู้ปกครองอย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตามหากสงสัยว่าเด็กมีโอกาสเป็นโรคสมาธิสั้นควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม
บทความทางการแพทย์ศูนย์สุขภาพเด็ก