นอกจากวัคซีนหลักหรือวัคซีนพื้นฐานที่ต้องพาเด็กไปฉีดแล้ว ยังมีวัคซีนอีกหลายๆ ชนิด ที่มีประสิทธิภาพดี มีประโยชน์ในการป้องกันโรค ที่เรียกว่า วัคซีนเสริม คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจสงสัยว่า วัคซีนเสริมมีความจำเป็นสำหรับเด็กจริงหรือไม่ ดังนั้นเราจะมาทำความรู้จักกับวัคซีนเสริม แต่ละชนิดกันว่ามีประโยชน์ในการป้องกันโรคในด้านใดบ้าง
วัคซีนสำหรับเด็ก
ในปัจจุบันวัคซีนสำหรับเด็กมี 2 แบบ โดยแบบแรกคือ วัคซีนพื้นฐานที่เด็กไทยควรได้รับตามแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุขทีกำหนดไว้ แบบที่สอง คือ วัคซีนเสริม หรือ วัคซีนทางเลือก เป็นวัคซีนที่อยู่นอกเหนือแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรค ได้แก่
วัคซีนป้องกันโรคปอดบวม (ไอพีดี)
โรคไอพีดี คือ โรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดรุกล้ำ เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนในเด็ก โดยเฉพาะในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี เชื้อนิวโมคอคคัสก่อให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบ และก่อให้เกิดการติดเชื้อรุกล้ำรุนแรง ได้แก่ การติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง การติดเชื้อในกระดูกและข้อ และการติดเชื้อในกระแสเลือด ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไอพีดี 2 ชนิด คือ ชนิด 10 สายพันธุ์ และ 13 สายพันธุ์ โดยให้ 4 ครั้ง เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือนและฉีดกระตุ้นที่อายุ 12-15 เดือน
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัส (Influenza Virus) มีอยู่ 3 สายพันธุ์ คือ ชนิด A, B และ C มีระยะฟักตัว 1-4 วัน ทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบน (จมูกและคอ) และอาจแพร่กระจายไปยังทางเดินหายใจส่วนล่าง (หลอดลมและปอด) โดยมักมีไข้สูง ปวดเมื่อย และอ่อนเพลียมากในเด็กเล็ก เด็กที่มีภูมิต้านทานไม่สมบูรณ์อาจมีโรคแทรกซ้อนได้ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ โดยแนะนำให้ฉีดวัคซีนก่อนเข้าฤดูที่มีการระบาด (ฤดูฝนและฤดูหนาว) และฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันทุกปี เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับสูง และป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่ระบาดในแต่ละปี ควรฉีดวัคซีนในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปจนถึงผู้ใหญ่
วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใส เกิดจากเชื้อไวรัส Varicella-Zoster Virus (VZV) ทำให้มีอาการไข้ ผื่นหลายระยะขึ้นบริเวณผิวหนัง ระบาดในช่วงฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน แพร่กระจายผ่าน 1. ทางลมหายใจ ไอ จาม และการหรือสัมผัสรอยโรคบริเวณผิวหนัง จึงเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่าย ระบาดได้เร็ว หรือ 2.ละอองฝอยจากลำคอ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก เด็กโตที่ไปโรงเรียน การติดเชื้อในเด็กทารกอายุน้อย ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบและสมองอักเสบได้ โรคอีสุกอีใสสามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยวัคซีน สามารถให้ได้ในเด็กตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป ไปจนถึงผู้ใหญ่ ภายหลังการให้วัคซีนอีสุกอีใสเมื่อครบ 2 เข็ม จะมีภูมิคุ้มกันสูงสุดร้อยละ 98 ต่อการติดเชื้ออีสุกอีใส และร้อยละ 99 ต่อภาวะรุนแรงของโรคอีสุกอีใส
วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
โรคมะเร็งปากมดลูก เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อเนื้อเยื่อบุผิวบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านมในหญิงไทย และเกือบทั้งหมดเกิดจากการติดเชื้อ HPV ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การป้องกันการติดเชื้อด้วยการฉีดวัคซีน เป็นแนวทางการป้องกันโรคได้ดีที่สุด โดยควรฉีดตั้งแต่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์และร่างกายอยู่ในวัยที่สร้างภูมิคุ้มกันได้ดี แนะนำให้ฉีดในหญิงและชายอายุ 9 - 26 ปี ข้อมูลในเด็กผู้ชายนั้นสามารถป้องกันโรคหูดหงอนไก่ และมะเร็งทวารหนักได้ด้วย ในวัยรุ่นที่แข็งแรงดี หากฉีดเข็มแรกก่อนอายุ 15 ปี ให้ฉีดวัคซีนเพียง 2 ครั้ง จะมีประสิทธิภาพเทียบเท่าการฉีด 3 ครั้ง
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ
ไวรัสตับอักเสบเอ คือ โรคที่มีการอักเสบของตับจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (HAV) ซึ่งสามารถติดต่อกันได้ผ่านการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ การสัมผัสกับสิ่งสกปรกและอุจจาระที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือผู้ที่ติดเชื้อ และจากการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ผิดสุขอนามัย สาเหตุทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน ทำให้เด็กมีไข้ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องอืด ตัวเหลือง อ่อนเพลีย การติดเชื้ออาจไม่มีอาการ อาการไม่มากจนถึงรุนแรงได้ ไวรัสตับอักเสบเอ ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป ฉีด 2 ครั้ง ห่างกัน 6-12 เดือน
วัคซีนเสริม | จำนวน | ช่วงอายุ |
---|---|---|
วัคซีนไอพีดี (IPD) | 4 ครั้ง | 2, 4, 6 เดือน และฉีดกระตุ้นที่อายุ 12-15 เดือน |
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ | ปีละครั้ง | 6 เดือนขึ้นไปจนถึงผู้ใหญ่ |
วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส | 2 ครั้ง | 12-18 เดือน และฉีดกระตุ้นเมื่ออายุ 4-6 ปี |
วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก | 2 ครั้ง | อายุ 9-15 ปี ครั้งที่ 2 หลังจากเข็มแรก 6-12 |
วัคซีนป้องกันตับอักเสบเอ | 2 ครั้ง | 1 ปีขึ้นไป ครั้งที่ 2 ห่างกัน 6-12 เดือน |
การฉีดวัคซีนเสริมเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อลดความเจ็บป่วยต่อการเกิดโรคต่างๆ เด็กจะได้มีสุขภาพดี แข็งแรง สมบูรณ์ พร้อมที่จะเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ การรับวัคซีนเสริมในแต่ละชนิดนั้นควรฉีดเมื่ออยู่ในกลุ่มเสี่ยง โดยสามารถปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงความเสี่ยงของเด็กว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด หรือมีความจำเป็นต้องได้รับวัคซีนเน้นเฉพาะโรคใดเป็นพิเศษ
บทความทางการแพทย์ศูนย์สุขภาพเด็ก