ไขข้อสงสัย? ทำไมฉีดวัคซีนแล้ว ถึงยังเป็น “ไข้หวัดใหญ่” อยู่
ศูนย์ : ศูนย์สุขภาพนครธน
บทความโดย : พญ. ธนพร เอี่ยมประไพ
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มาแล้ว มีคำถามว่าจำเป็นต้องฉีดซ้ำไหม หรือมีคำถามว่า หากฉีดวัคซีนแล้วจะไม่เป็นหวัดเป็นเรื่องจริงหรือไม่? เรามีคำตอบ ผู้ที่ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไปแล้วก็ยังเป็นไข้หวัดใหญ่ได้ แต่อาการและความรุนแรงของโรคจะน้อยลงมาก โดยภูมิคุ้มกันในร่างกายจะสร้างขึ้นภายใน 2 สัปดาห์หลังจากได้รับวัคซีน และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะไม่สามารถป้องกันโรคไข้หวัดทั่วไปที่เกิดจากเชื้ออื่นๆ ได้ และสามารถป้องกันได้ปีต่อปีเท่านั้น เนื่องจากเชื้อไวรัสที่ระบาดในแต่ละปีนั้นอาจเป็นคนละสายพันธุ์
สารบัญ
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Update ปี 2024)
โดยองค์การอนามัยโลก(WHO) แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ ประจำปี 2024 Southern strain ได้แก่
- ไวรัสชนิด A สายพันธุ์ Victoria (H1N1) (an A/Victoria/4897/2022 (H1N1) pdm09-like virus)
- ไวรัสชนิด A สายพันธุ์ Thailand (H3N2) (an A/Thailand/8/2022 (H3N2)-like virus)
- ไวรัสชนิด B สายพันธุ์ Austria (a B/Austria/1359417/2021 (B/Victoria lineage)-like virus)
- ไวรัสชนิด B สายพันธุ์ Phuket (a B/Phuket/3073/2013 (B/Yamagata lineage)-like virus)
หากฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไปเมื่อปีที่แล้ว ทำไมปีนี้ต้องฉีดซ้ำอีก
สาเหตุเพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เรื่อยๆ การผลิตวัคซีนแต่ละปีจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ตามเชื้อไวรัส เพื่อให้ครอบคลุมเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุและร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันโรคประมาณ 1 ปี จึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่กระตุ้นภูมิคุ้มกันทุกปี เพื่อจะได้ป้องกันได้อย่างต่อเนื่องและให้ร่างกายได้สร้างภูมิคุ้มกันและปรับให้เหมาะสมกับเชื้อไวรัสในแต่ละปีด้วยเช่นกัน
วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคประมาณ 70 - 90% แต่ในผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิต้านทานร่างกายไม่แข็งแรง การตอบสนองต่อวัคซีนอาจลดลง อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ยังมีประโยชน์ในการลดความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน โอกาสที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตลงได้
ใครบ้างที่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
- เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี
- ผู้ใหญ่อายุ 65 ปีขึ้นไป
- สตรีตั้งครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอด หอบ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไตเรื้อรัง ผู้ป่วยมะเร็ง เป็นต้น
- โรคธาลัสซีเมีย และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ)
- โรคอ้วน (น้ำหนักมากกว่า > 100 กิโลกรัม หรือ BMI > 35 กก./ตร.ม.)
- ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
- แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่
ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เมื่อไหร่
วัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถฉีดได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงเปลี่ยนฤดูกาลก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโรค สำหรับประเทศไทยจะแพร่ระบาดมากในช่วงฤดูฝน (ระหว่างเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม) และฤดูหนาว (ระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคม)
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถลดอัตราป่วย ลดความรุนแรงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน ลดโอกาสการนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือ อัตราการเสียชีวิต
ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
บทความทางการแพทย์ศูนย์สุขภาพนครธน