ภาวะน้ำตาลสูงในเลือดวิกฤต เสี่ยงภาวะเลือดเป็นกรด (DKA)
ศูนย์ : ศูนย์อายุรกรรม
บทความโดย : พญ. สุภัทรา ปวรางกูร
-ภาวะฉุกเฉินอันตรา - Suttinee Densanguanwong.jpg)
ผู้ป่วยเบาหวาน เป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค หรือภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีพอจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันที่พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน คือ น้ำตาลสูงในเลือดวิกฤต ซึ่งประกอบด้วย ภาวะคีโตอะซิโดซิส (Diabetic ketoacidosis) และภาวะไฮเปอร์กลัยซีมิค-ไฮเปอร์ออสโมลาร์ (Hyperglycemic hyperosmolar state) ที่จะทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด
สารบัญ
ภาวะน้ำตาลสูงในเลือดวิกฤต ประกอบด้วย
- ภาวะคีโตเอซิโดซิส (Diabetic Ketoacidosis : DKA)
คือ การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับภาวะเลือดเป็นกรดจากการที่มีสารคีโตนสะสมในเลือด พบได้ทั้งในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่1 และผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเกิดจากภาวะขาดฮอร์โมนอินซูลินหรือมีไม่เพียงพอร่วมและ มีการสร้างฮอร์โมนเพิ่มกลูโคสเพิ่มขึ้นจึงทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานที่เนื้อเยื่อต่างๆ ได้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และเกิดการสลายไตรกลีเซอร์ไรด์ที่เนื้อเยื่อไขมันทำให้เกิดคีโตน และเมื่อคีโตนภายในเลือดสูง จะทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด
อาการของภาวะเลือดเป็นกรด (DKA)
- คลื่นไส้ อาเจียนมาก
- ปวดท้อง
- คอแห้ง กระหายน้ำ
- ปัสสาวะบ่อย
- ลมหายใจมีกลิ่นเหมือนผลไม้
- หายใจหอบลึก
- ตรวจพบคีโตนในปัสสาวะ
- อ่อนเพลีย
- น้ำหนักลด
- ซึมลง หมดสติ
ซึ่งหากยังไม่ได้รับการรักษาจะเกิดอาการที่รุนแรงอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
- ไฮเปอร์กลัยซีมิค-ไฮเปอร์ออสโมลาร์ (Hyperglycemic hyperosmolar state)
คือ ภาวะระดับน้ำตาลสูงร่วมกับมีภาวะออสโมแลลิตีสูงในเลือดด้วย ซึ่งภาวะระดับน้ำตาลนี้จะสูงมากกกว่าภาวะ DKA และไม่พบภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตน มักพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 สาเหตุเกิดจากการขาดอินซูลิน แต่ยังมีเพียงพอที่ยับยั้งการสลายเนื้อเยื่อไขมันทำให้ไม่มีการสร้างคีโตน
อาการไฮเปอร์กลัยซีมิค-ไฮเปอร์ออสโมลาร์
- ปัสสาวะบ่อย
- หิวน้ำบ่อย
- น้ำหนักลด
- ซึมลง หรือหมดสติ
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะน้ำตาลสูงในเลือดวิกฤต
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะนี้ ได้แก่
- การขาดฮอร์โมนอินซูลิน โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่เพิ่งเริ่มวินิจฉัยซึ่งเกิดจากตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน หรือในผู้ป่วยเบาหวานชนิด 2 ที่เป็นโรคมานานและควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี ตับอ่อนหลั่งอินซูลินลดลง จำเป็นต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ หากผู้ป่วยหยุดฉีดอินซูลินหรือฉีดอินซูลินลดลง จะทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด (DKA) ได้
- ภาวะติดเชื้อ การได้รับอุบัติเหตุ หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด การผ่าตัดใหญ่ ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น ตับอ่อนอักเสบ
- ความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ เช่น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ไทรอยด์เป็นพิษ
- การได้รับยาบางชนิดที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เช่น ยาสเตียรอยด์ ยากดภูมิคุ้มกัน

การรักษาภาวะน้ำตาลสูงในเลือดวิกฤต
- การให้สารน้ำทดแทนให้เพียงพอ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานคงที่ ทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดลดลง และทำให้ภาวะเป็นกรดในร่างกายดีขึ้น
- การให้อินซูลินโดยผ่านทางหลอดเลือดดำของผู้ป่วยจนกว่าระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลง และเลือดไม่มีความเป็นกรด
- การให้เกลือแร่ เช่น โซเดียม โพแทสเซียม ซึ่งอาจลดต่ำลงได้เนื่องจากการขาดอินซูลิน ผ่านการฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ เพื่อให้กล้ามเนื้อ เส้นประสาท และหัวใจสามารถทำงานได้ตามปกติ พร้อมทั้งติดตามระดับอย่างใกล้ชิด
- รักษาโรคที่พบร่วมและอาจเป็นเหตุกระตุ้นได้เช่นการติดเชื้อต่างๆ รวมทั้งติดตามอาการใกล้ชิดเพื่อตรวจและรักษาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ทั้งนี้ภาวะน้ำตาลสูงในเลือดวิกฤต เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ หากผู้ป่วยเบาหวาน มีอาการคลื่นไส้อาเจียน กระหายน้ำ ปัสสาวะมาก อ่อนเพลีย ปวดท้องและซึมลง รีบมาพบแพทย์ เพราะหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้ ทั้งนี้สามารถปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลจากแพทย์ออนไลน์ได้เลย
ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
บทความทางการแพทย์ศูนย์อายุรกรรม