ปวดท้องประจำเดือน สัญญาณเตือน “ช็อกโกแลตซีสต์”
ศูนย์ : ศูนย์สุขภาพสตรี
บทความโดย : พญ. จุฑาภรณ์ อุทัยแสน
ถ้าพูดถึงโรค "ช็อกโกแลตซีสต์" (Chocolate Cyst) หรือ ซีสต์ในรังไข่ เชื่อว่าผู้หญิงหลายคนคงคุ้นกับชื่อนี้ แต่มีใครทราบหรือไม่ว่า ความจริงแล้วโรคนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่” ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ คือ อยู่ในช่วงอายุ 30-50 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคนี้มาก่อน จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากขึ้น
หากคุณมีอาการปวดท้องประจำเดือนที่ผิดปกติไปจากเดิม ประจำเดือนมามากกว่าปกติ หรือมาแบบกระปริดกระปรอย นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนที่เริ่มบ่งบอกว่าคุณอาจมีช็อกโกแลตซีสต์ (ซีสต์ในรังไข่) แล้วอาการปวดท้องประจำเดือนแบบไหน ที่อาจจะเป็นสัญญานเตือนของภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือช็อกโกแลตซีสต์ ไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันค่ะ
สารบัญ
โรคช็อกโกแลตซีสต์เกิดจากอะไร?
โดยปกติ ภายในโพรงมดลูกจะมีเยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งจะหนาตัว มีเลือดคั่ง จากนั้นก็จะสลายตัวออกมาเป็นประจำเดือนเป็นวงจรแบบนี้ทุกเดือน แต่ในบางราย เยื่อบุโพรงมดลูกอาจไปเจริญเติบโตนอกโพรงมดลูก เช่น ที่บริเวณรังไข่ ท่อนำไข่ กระเพาะปัสสาวะและลำไส้ จึงทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อโดยรอบจนเกิดเป็นฟังผืดอยู่ภายในช่องท้อง ทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือน หรือปวดท้องเรื้อรัง หากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่บริเวณรังไข่ก็จะกลายเป็นถุงน้ำ หรือซีสต์ มีขนาดเท่าไข่ไก่ หรือผลส้ม มีเลือดคั่งอยู่ข้างใน ลักษณะเป็นของเหลวสีคล้ายกับช็อกโกแลต จึงเรียกว่า ‘ถุงน้ำช็อกโกแลต’ หรือ ‘ช็อกโกแลตซีสต์’ นั่นเอง
โรคช็อกโกแลตซีสต์นี้มีอาการอย่างไร?
ในบางราย อาจโชคดีตรวจพบโรคช็อกโกแลตซีสต์จากการตรวจสุขภาพประจำปี โดยยังไม่มีอาการเจ็บป่วยแสดง แต่ผู้ป่วยส่วนมากมักมีอาการ
- อาจมีอาการปวดประจำเดือน ซึ่งจะปวดรุนแรงในช่วงวันท้ายๆ ของการมีประจำเดือน
- อาจมีอาการปวดประจำเดือนครั้งแรกเมื่ออายุมากกว่า 25 ปี
- ประจำเดือนมามากกว่าปกติ หรือมาแบบกระปริดกระปรอย
- ปวดท้องน้อยหลังมีเพศสัมพันธ์
- คลำพบก้อนบริเวณท้องน้อย ซึ่งเกิดจากขนาดของถุงน้ำที่รังไข่โตขึ้น
- ปวดขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ
- ในกรณีที่ถุงน้ำช็อกโกแลตแตก จะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงเฉียบพลัน
- ร้อยละ 60-70 ของผู้ที่มีประวัติว่ายังไม่คเคยมีบุตรมาก่อน ซึ่งเป็นสาเหตุให้มีบุตรยาก
จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์นี้หรือไม่?
หากมีอาการข้างต้นหรือสงสัยว่าตนเองเป็นโรคช็อกโกแลกซีสต์ ควรเข้ารับการซักประวัติและตรวจวินิจฉัยโดยสูติ-นรีแพทย์ ด้วยวิธีการตรวจร่างกายร่วมกับการตรวจภายใน หรือการอัลตราซาวด์อุ้งเชิงกราน เพื่อตรวจหาความผิดปกติภายในมดลูก เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ช็อกโกแลตซีสต์ จำเป็นต้องรักษาหรือไม่ และรักษาอย่างไร?
ในรายที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรงมากนัก แพทย์อาจให้สังเกตอาการร่วมกับการใช้ยากลุ่มฮอร์โมนในการรักษาและตรวจติดตามอาการเป็นระยะ แต่ในกรณีที่ให้ยาแล้วยังไม่ได้ผล เป็นช็อกโกแลตซีสต์ขนาดใหญ่ มีผลทำให้มีบุตรยาก หรือเป็นซีสต์ที่เป็นเนื้องอกรังไข่ เป็นต้น แพทย์อาจพิจารณาใช้วิธีการผ่าตัดผ่านกล้อง
การผ่าตัดช็อกโกแลตซีสต์ หรือ ซีสต์ในรังไข่ผ่านกล้อง
การผ่าตัดช็อกโกแลตซีสต์ หรือ ซีสต์ในรังไข่ผ่านกล้อง เป็นการเจาะช่องที่ผนังหน้าท้องให้เป็นช่องกว้างเพียง 0.5-1 เซนติเมตร ประมาณ 2 - 3 ช่อง เพื่อสอดกล้องขยายและเครื่องมือผ่าตัดเข้าไปในช่องท้อง เพื่อทำการผ่าตัดเลาะเอาช็อกโกแลตซีสต์ออก โดยกล้องจะทำหน้าที่นำภาพอวัยวะภายในช่องท้องถ่ายทอดออกมาให้เห็นทางจอโทรทัศน์ ทำให้ศัลยแพทย์สามารถมองเห็นรายละเอียดของตำแหน่งภายในร่างกายที่ต้องการผ่าตัดได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งวิธีนี้แผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว ลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ หลังผ่าตัด และยังให้ผลการรักษาได้ดีเทียบเท่ากับการรักษาแบบมาตรฐานอีกด้วย
หลังการผ่าตัดปฏิบัติตัวอย่างไร
- ใน 7 วันหลังผ่าตัด ห้ามแผลถูกน้ำหรือเปียกน้ำ จนกว่าจะหายสนิท
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และมาตรวจติดตามทุกครั้งที่มีนัดจากแพทย์
- ประมาณ 6 สัปดาห์แรกระหว่างพักฟื้น ไม่ควรออกกกำลังกายที่ต้องใช้แรง ใช้หน้าท้อง และหักโหม
- งดมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 4-6 สัปดาห์ หรือ จนกว่าแพทย์จะตรวจว่าปลอดภัยแล้ว
- หากมีความผิดปกติ เช่น มีไข้ แผลบวม แดง แฉะ ปวดท้องมากขึ้น ควรรีบมาพบแพทย์ทันที
อย่างไรก็ตามการเกิดช็อกโกแลตซีสต์ หรือ ซีสต์ในรังไข่ระยะแรกๆ ส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ตัว จะรู้ตัวก็ต่อเมื่อมีถุงน้ำก้อนใหญ่และเกิดภาวะแทรกซ้อนไปแล้ว การตรวจภายใน ร่วมกับการอัลตราซาวด์อุ้งเชิงกราน เพื่อตรวจหาความผิดปกติภายในมดลูกและรังไข่ จะช่วยตรวจพบและทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที
ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
บทความทางการแพทย์ศูนย์สุขภาพสตรี